บทความทั่วไป

ที่สุดของการถือสา......

System

 

 ที่สุดแห่งการถือสา...

 

เคยมีคนกราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า  ถ้าหากจะย่อหลักธรรมของพระองค์ให้เหลือเพียงสั้นๆ ทว่าครอบคลุมใจความทั้งหมดแห่งพระพุทธศาสนา จะสรุปได้ว่าอะไร  พระองค์ตรัสว่า  หากจะให้สรุปเช่นนั้น   ก็ขอสรุปว่าใจความแห่งคำสอนของพระองค์ขึ้นอยู่กับประโยคที่ว่า  

สัพเพ   ธัมมานาลัง   อะภินิเวสายะ   ใดใดในโลกอันบุคคลไม่ควรยึดติดถือมั่น’  ทำไมจึงไม่ควรยึดติดถือมั่น  เพราะที่ใดมีความถือมั่น   ที่นั่นก็มีความทุกข์  ความทุกข์ขยายตัวตามระดับความเข้มข้นของความยึดติด ยึดมาก  ติดมาก   จึงทุกข์มาก   ไม่ยึด   ไม่ติด   จึงไม่ทุกข์  ความไม่ยึดติดถือมั่น  กล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า  ‘การปล่อยวาง’ 
ทำไมจึงต้องปล่อยวาง เพราะทุกอย่าง มีความว่างมาแต่เดิม คนที่หลงกอด ความว่างโดยคิดว่าเป็น  ‘ความมีทำไมจะไม่ทุกข์ล่ะหลายคนชอบกอดไว้หมดทุกเรื่อง ทุกปัญหา ทุกคน แล้วยกขึ้นไปแบกไว้บนบ่า จากนั้นก็มานั่งเป็นทุกข์ว่าทำไมชีวิตถึงได้เหนื่อยล้าขนาดนี้  หมดเรี่ยวหมดแรงเหมือนโลกทั้งโลกกำลังกดทับ ก็เล่นถือเอาทุกเรื่องเป็นเรื่องของตัวหมดเลยนี่ ถ้าไม่แบกเอาไว้ก็คงไม่หนัก ถ้าไม่ถือเอาไว้ก็คงไม่เหนื่อย  แต่ก็นั่นแหล่ะ บางคน  ‘วางไม่เป็น มีจิตฟุ้งซ่านต้องการจะเป็นธุระไปเสียทั้งหมด   ก็ต้องแลกเอากับผลลัพธ์ที่ทำให้เหน็ดเหนื่อย 
 
มีเรื่องเล่าชวนคิดเรื่องหนึ่งว่า 
พระบวชใหม่รูปหนึ่งเดินบิณฑบาตผ่านชุมชนแห่งหนึ่งซึ่งมีผู้คนจอแจ  ขณะเดินสำรวมก้มหน้าแต่พอประมาณเพื่อเดินผ่านชุมชนไปอย่างช้าๆ  นั่นเอง จู่ๆ   มีชายผู้หนึ่งใส่สูท   ผูกเนคไท   สวมแว่นตาดำ   เดินเข้ามาหาท่าน   พร้อมชี้หน้าด่าท่านอย่างสาดเสียเทเสีย  พระรูปนั้นตกตะลึง รีบเดินหนี  แต่แม้ท่านจะเดินหนีชายคนนั้นพ้นแล้ว แต่เสียงด่าทอของเขายังก้องอยู่ในโสตประสาทของท่านอย่างชัดถ้อยชัดคำเมื่อกลับมาถึงวัด พลันที่คิดถึงเหตุการณ์ที่ตนถูกชี้หน้าด่ากลางฝูงชน พระหนุ่มก็รู้สึกโกรธจนหน้าแดงก่ำ ยิ่งคิดต่อไปว่าชายคนนั้นมาชี้หน้าด่าตนซึ่งเป็นพระ และตนก็จำได้ว่าตั้งแต่บวชเข้ามาในพระธรรมวินัย ก็ยังไม่เคยทำอะไรผิดคิดมาถึงขั้นว่าตนไม่ผิด แต่ทำไมตนต้องถูกด่า ยิ่งเจ็บ ยิ่งแค้น วันที่ท่านถูกด่ากลางชุมชนนั้นเป็นวันศุกร์ แต่ตกถึงเช้าวันจันทร์ท่านก็ยังไม่หายโกรธ 
เช้าวันจันทร์นั้น พระบวชใหม่ประคองบาตรเดินผ่านชุมชนนั้นเหมือนเดิม ท่านพยายามสอดส่ายสายตามองหาชายคนเดิม ตั้งใจว่าวันนี้จะต้องถามให้รู้เรื่องว่าเหตุใดจึงมาชี้หน้าด่าตนเมื่อวันศุกร์ที่แล้วยิ่งพยายามค้นหา  กลับยิ่งไม่พบ ท่านจึงเดินสำรวจรับอาหารบิณฑบาตต่อไป จนได้อาหารเต็มบาตรแล้วจึงเดินกลับวัด 
ระหว่างทางกลับวัด โดยไม่คาดฝัน พระหนุ่มทอดสายตาไปพบกับชายคนหนึ่ง สวมสูท ผูกเนคไท ใส่แว่นตาดำ  ท่านอุทานในใจว่า 
“ อ๋อ   เจ้าคนนี้เองที่ด่าฉันเมื่อวันศุกร์ ” 
ภาพที่เห็นคือ ชายแต่งตัวดีคนนั้น นอนหลับหมดสติอยู่ข้างศาลเจ้าแม่แห่งหนึ่ง ข้างๆ ตัวเขามีขวดเหล้าล้มกลิ้งอยู่ พอท่านพยายามเดินเข้าไปมองใกล้ๆ เขาจึงเริ่มรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา พอเห็นท่านเท้านั้นชายคนนั้นก็ร้องขึ้นมาว่า 
“ ขอเดชะ   พระอาญาไม่พ้นเกล้าฯ   บัดนี้พระองค์ทรงกลับมาครองพาราณสีอีกครั้งหนึ่งแล้วกระนั้นหรือ …” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นรำเฉิบๆ พลันที่ท่านประเมินได้ว่าชายแต่งตัวดี  คนที่ชี้หน้าด่าท่านเมื่อวันศุกร์ที่แล้วเป็นคนบ้าที่มาในร่างของคนแต่งตัวดีเท่านั้น ความโกรธที่ก่อตัวเป็นเมฆดำทะมึนอยู่ในใจของท่านมานานถึงสามวันก็อันตรธานไปอย่างง่ายดายชนิดไร้ร่องรอย 
ทำไมเราจึงปล่อยวางต่อคนบ้าได้ง่ายดายเหลือเกิน แต่กับคนปกติ  ทำไมเราจึงมีความรู้สึกว่าต้อง...เอาเรื่องราว...ให้...ถึงที่สุด
เราบ้าหรือเปล่า?



 

กล่องความคิดเห็น

การแสดงความคิดเห็นเปิดสำหรับสมาชิกเท่านั้น
ลงชื่อเข้าระบบสมาชิก หรือ สมัครสมาชิกใหม่