ข่าวสาร-กิจกรรม

:: ปัจฉิมนิเทศที่เทคนิคเชียงใหม่ ::

System

 

 

::  ปัจฉิมนิเทศที่เทคนิคเชียงใหม่  ::

 

 

 

ณ  วิทยาลัยเทคนิค  เชียงใหม่

วันที่ 9 กุมภาพันธ์  2555

 

 

โดย  :   กะว่าก๋า

 

 

 

 

 

 

ขณะนี้เราเรียนอยู่ในรั้วการศึกษา

แต่เราไม่ได้เชื่อมโยงตัวเรากับโลกภายนอกเลย

เคยรู้ไหมว่าคนอื่นเขาคิดอย่างไร

โลกจริงๆไม่ใช่แค่เรื่องที่ว่าวัยรุ่นดาราแต่งตัวยังไง

แต่เป็นเรื่องของ “วิธีคิด”

ว่าเวลาที่เราเจอคนแบบนี้เราจะรับมืออย่างไร

และ “วิธีคิด” สำคัญกับทุกเรื่อง

เช่น ถ้าเรามีคนรักเราจะดูแลคนรักของเราอย่างไร

ไม่ใช่ความรักแบบหวานแหววที่เดินจูงมือกันในโรงเรียน

แต่เป็นความรักแบบชีวิตจริงที่เป็นชีวิตคู่

“วิธีคิด”  จะทำให้เรารู้ว่าเราจะดูแลคนรักของเราอย่างไร

 

 

โลกของการทำงานจริงกับโลกของการเรียนนั้นแตกต่างกัน

เราจะไม่มีครูมาคอยจ้ำจี้จำไชอีกแล้ว

ว่าเธอต้องส่งงาน 

ถ้าไม่ส่งงาน เธอจะไม่จบ

 

บางสำนักงานถ้าน้องไปทำแล้วงานไม่ผ่านสักสามครั้ง

ผู้จัดการหรือเจ้าของจะเรียกน้องมานั่งที่โต๊ะ

ยื่นซองขาวแล้วก็บอกว่า....  “ออกไป”

 

 

ที่ร้านของพี่...ในการรับพนักงานเข้ามาทำงาน

จะมีคำว่า “ทดลองงานสามเดือน” เขียนไว้ในใบสมัครงาน

แล้วก็มีคนที่ไม่ผ่านงาน….

 

ตอนนี้น้องๆอาจจะคิดว่าทำไมเรียนหนักจัง

มีโปรเจ็คเยอะแยะมากมายจนทำไม่ทัน

 

แต่เวลาคุณจบออกไปแล้วทำงานในสำนักงาน

คุณไม่มีสิทธิ์บ่น...

ถ้าเจ้านายสั่งงานชิ้นนี้แล้วบอกว่า “ขอก่อนห้าโมงเย็น”

ก็ต้องส่งงานก่อนห้าโมงเย็น

เพราะถ้าน้องทำไม่ได้

ก็จะมีคนอื่นที่ทำได้  แล้วเขาจะเข้ามาทำงานแทนที่เรา

 

นี่คือความแตกต่างของโลกการทำงานกับโลกของการเรียน

 

 

 

 

 

 

 

เรามักจะพูดว่าในยุคนี้

ต้องเจ๋ง  ต้องดัง  ต้องเด่น ต้องมีคนเข้ามาเป็นกระแสเยอะๆ

ถึงจะเรียกว่าดัง  พอดังแล้วจะรวย

 

แต่จริงๆแล้วเรามีหน้าที่เดียว

คือ รับผิดชอบกับสิ่งที่เราทำให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง

 

 

 

 

 

 

 

ชีวิตไม่ได้จบแค่การเป็นสถาปนิก

บางคนอาจจะเลี้ยงปลากัด  บางคนชอบชนกว่าง

เคยถามและคิดไหมครับ

ว่าเราชอบการชนกว่าง  แต่เรารู้จักกว่างอย่างดีที่สุดแล้วหรือยัง

เราจะสอนมันให้เป็นกว่างที่เก่งที่สุดได้อย่างไร

 

ถ้าวันนี้เราชอบมอเตอร์ไซด์

แทนที่เราจะคิดว่าเราจะชอบอย่างเดียว

ขอเงินพ่อแม่ซื้อมอเตอร์ไซด์มาขี่

เราเคยคิดไหมว่าเราจะโมดิฟายน์

ให้มันเป็นมอเตอร์ไซด์ที่ดีที่สุดด้วยเงินที่น้อยที่สุดได้อย่างไร

 

หรือถ้าใครชอบดาราเกากลี  เคยถามตัวเองไหมครับ

ว่าเราจะทำอย่างไรให้รู้ลึก รู้จริงที่สุดแบบแฟนพันธุ์แท้

 

ถ้าเราทำแบบนี้กับทุกสิ่งไปเรื่อยๆหลายๆปี

วันหนึ่งสิ่งนี้จะย้อนกลับมาที่เรา

และทำให้คนยอมรับในสิ่งที่เรารู้

 

 

 

 

ในการทำงานจริง

นอกจากความฉลาด  ยังต้องมีความรอบรู้

มีความอดทน  มีความขยัน

และสิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่มีสอนในวิทยาลัย 

 

ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย....

 

อย่างวิชาความขยันก็ไม่มีสอน

บางคนอาจารย์สั่งงานปุ๊บ  กลับบ้านเย็นนั้นนั่งทำงานทันที

บางคนทิ้งไว้อาทิตย์หนึ่งถึงค่อยเริ่มลงมือ

บางคนทิ้งไว้จนจบเทอมก็ยังไม่ได้ทำ

 

คนที่มีความพร้อมและมีโอกาสที่จะเรียนต่อ

ก็ควรเรียนต่อ

แต่คนที่ไม่มีโอกาสที่จะเรียนต่อ

ขออย่าได้น้อยใจต่อโชคชะตาชีวิต

อย่าไปยึดติดว่าคนจบปริญญาตรีจะเก่งกว่าคนที่จบ ปวส.

หรือคนจบปริญญาโท  จบปริญญาเอก

จะเก่งกว่าคนที่จบปริญญาตรี

 

การศึกษาแค่ทำให้เรารู้อะไรมากกว่าคนอื่น

แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะรู้ในทุกสิ่ง ฉลาดในทุกเรื่อง

 

พี่จบปริญญาตรีลาดกระบัง  แต่ตอนที่จะซ่อมบ้าน

เดินสำรวจดู  ยังคิดว่าต้องใช้ทีมงานช่างหลายคนพอสมควร

และคงต้องใช้เวลาในการซ่อมบ้านนานหลายวัน

 

แต่พอเรียกสล่า (ช่างท้องถิ่น) ที่รู้จักกันมาดูงาน

สล่าคนนี้ไม่ได้เรียนหนังสือ 

แต่ทำงานก่อสร้างจริงมาตั้งแต่หนุ่มๆ

 

เขามากันแค่สองคน 

ทำงานสามวันก็ซ่อมบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว

 

นี่คือคำว่า  “ความรู้” กับ “ความเชี่ยวชาญ”

 

ประสบการณ์และความช่ำชอง

เราสามารถเรียนรู้ได้จากประสบการณ์การทำงานจริงนั่นเอง

 

 

 

 

 

 

 

หลายคนๆไม่ได้ศึกษาต่อ...ไม่เป็นไร

แต่ขอให้รู้จริงในสิ่งที่เราทำ

 

ถ้าจบออกไปแล้วไม่ได้ไปเขียนแบบในสำนักงานสถาปนิก

ต้องไปสับไก่ช่วยพ่อแม่เพื่อขายข้าวมันไก่

ก็จงสับไก่อย่างถ่องแท้

ต้องรู้ว่าแล่ชิ้นละ 3 เซ็นฯถึงจะอร่อย

ถ้าไก่ขนาดใหญ่ 4 เซ็นฯจะไม่อร่อย

ต้องมีปฏิภาณที่จะจดจำได้ว่า

ลูกค้าคนนี้มากินบ่อยๆ  เขาชอบอะไร ไม่ชอบอะไร

 

นี่เป็นวิธีคิดของมืออาชีพ

 

มืออาชีพคือคนที่รู้ในสิ่งที่ตัวเองทำอย่างดีที่สุด

ถ้าเราใส่ใจทุกรายละเอียดและเต็มที่กับมัน

จนเรารู้ว่ามันเป็นอย่างนี้ๆๆๆ เพราะอะไร

และเมื่อเกิดปัญหาเราจะแก้ไขนั้นอย่างไร

 

ถ้าทำได้แบบนี้ในทุกๆเรื่องที่เราทำ

นั่นเราก็ใกล้เคียงกับคำว่ามืออาชีพแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

ในขณะที่น้องๆกำลังจะจบและไปทำงานในชีวิตจริง

และพี่คิดว่าจะเล่าอะไรให้น้องๆฟังดี

 

วันก่อนพี่อ่านนิทานเรื่องหนึ่งให้ลูกฟัง

เป็นนิทานเรื่อง “แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์”

 

ปรากฏว่าลูกชายพี่อึ้งไปครึ่งวัน

นั่งจึ๋งไม่พูดจากับพ่อและแม่เลย

นั่งเหม่อแบบครุ่นคิด

 

ลูกชายพี่อายุสามขวบกับเจ็ดเดือน

 

อยู่ๆลูกก็ถามพี่ว่า

 

 

“ทำไมคนที่ทำไม่ดี ถึงได้ดีล่ะป่ะป๊า”

 

นี่คือเนื้อหานิทานครับ

 

(เปิดหนังสือนิทานแจ๊คผู้ฆ่ายักษ์ที่เตรียมมา

นั่งอ่านให้นักศึกษาฟัง)

 

 

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว

มีหญิงม่ายคนหนึ่งอาศัยอยู่กับลูกชายชื่อแจ๊ค

ทั้งสองคนมีฐานะยากจนมาก

 

วันหนึ่งวัวที่เลี้ยงอยู่ไม่ให้นมอีกแล้ว

แม่จึงบอกให้แจ๊คเอาวัวไปขายที่ตลาด

ระหว่างทางแจ๊คเจอชายชราคนหนึ่งเข้ามาบอกว่า

 

“แลกวัวของเจ้ากับถั่ววิเศษของข้ามั้ย ?”

 

แจ๊คจึงแลกวัวกับถั่วไม่กี่เมล็ดกลับมาบ้าน

เมื่อแม่รู้เข้าก็โมโหมาก คิดว่าแจ๊คถูกหลอก

เลยปาถั่วทิ้งที่ข้างหน้าต่าง

แล้วลงโทษโดยไม่ให้แจ๊คกินข้าวเย็นในวันนั้น

 

 

ตื่นเช้าขึ้นมา...ต้นถั่ววิเศษกลับงอกขึ้นไปบนท้องฟ้า

แจ๊คปีนขึ้นไปจนเจอกับปราสาทหลังใหญ่

ที่นั่นแจ๊คพบกับหญิงร่างยักษ์คนหนึ่ง

แจ๊คเลยไปขอข้าวกิน  นางก็ให้

แล้วบอกแจ๊คว่าสามีของนางเป็นยักษ์ที่ดุร้าย

และชอบกินมนุษย์มาก  แจ๊คเลยหลบอยู่ใกล้ๆ

พอยักษ์กลับมาบ้านกินข้าว และหลับไป

แจ๊คก็ขโมยเหรียญทองของยักษ์ ปีนกลับลงมาที่บ้าน

แล้วใช้ชีวิตกับแม่อย่างมีความสุข

 

ไม่นานนักเมื่อเหรียญทองหมดลง

แจ็คก็ปีนขึ้นไปข้างบนนั้นอีก 

ไปขอข้าวจากเมียของยักษ์มากินอีกครั้ง

คราวนี้แจ๊คขโมยไก่ที่ไข่เป็นทองคำของยักษ์ลงมา

 

 

และต่อมาแจ๊คก็ปีนต้นถั่วขึ้นไปเพื่อไปขโมยพิณพูดได้ของยักษ์อีก

คราวนี้พิณพูดขึ้นมาว่า “ขโมย ขโมย”

ยักษ์เลยตื่นขึ้นมา แล้ววิ่งตามแจ๊คไปด้วยความโกรธ

 

แจ๊ครีบปีนลงมาจากต้นถั่ว  ตะโกนบอกให้แม่เอาขวานมา

จากนั้นก็ฟันฉับลงไปที่ต้นสองครั้งจนต้นถั่วขาดสะบั้น

แล้วยักษ์ก็ตกลงมาตาย

 

นับจากนั้นเป็นต้นมาแจ๊คและแม่ก็กลายเป็นเศรษฐี

ด้วยไก่ที่ไข่เป็นทองคำและการเดินสายแสดงพิณพูดได้จนร่ำรวย

 

ทั้งสองอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดมา....

 

 

 

 

ปกติพี่อ่านนิทานให้ลูกฟังบ่อยมาก

ปกติคืนหนึ่ง 4-5 เล่ม

อ่านเยอะสุด 15 เล่มรวด

แล้วทำไมวันนี้นิทานเล่มนี้เล่มเดียวทำให้ลูกดูเครียดจังเลย

 

 

 

พี่กำลังบอกว่านิทานเรื่องนี้กำลังสอนอะไรบางอย่างกับเรา

ได้สังเกตไหมครับว่าทำไมคนที่เป็นคนขี้ขโมยถึงได้ดี

ทำไมคนที่ไม่กตัญญูรู้คุณคนถึงได้ดี

ทั้งๆที่เมียยักษ์เอาข้าวให้แจ๊คกินถึงสองครั้ง

แต่เขากลับไม่สำนึกบุญคุณ 

ฆ่ายักษ์โดยไม่นึกถึงความถูกต้องใดใดเลย

 

 

 

ลองมองข้ามความเป็นนิทานไป

เรื่องนี้เป็นตัวอย่างของการใช้ชีวิต

ทุกวันนี้เราให้ความสำคัญกับเรื่องของ “มูลค่า”

มากกว่าเรื่องของ “คุณค่า”

 

 

เราให้ความสนใจแต่ว่าคนไหนรวย

ถ้าใครรวยเราก็เชื่อไปแล้วว่าเขาเจ๋ง  เก่ง

ยิ่งรวยแล้วดัง...สุดยอด

 

วิธีคิดแบบนี้อันตรายมากนะครับ

 

 

เด็กที่จบใหม่เวลาสมัครงาน

มักจะถามว่า  “ที่นี่จะให้เงินเดือนเท่าไหร่”

 

ซึ่งคำถามแบบนี้มักจบด้วยการไม่ได้งานทำ

 

ในขณะที่อีกคนตอบว่า

 

“ ผมอยากรู้ว่าที่นี่จะให้ผมทำงานอะไร

ได้อย่างเต็มความสามารถของผมบ้าง”

 

 

ถ้าคุณเป็นเจ้านายรับสมัครงาน

คุณจะเลือกคนไหนเข้าทำงาน...

 

 

 

นี่เป็นคำตอบในเรื่องของ “มูลค่า” กับ “คุณค่า”

 

 

 

เหมือนกับแจ๊คในนิทานเล่มนี้

แจ๊คยากจน  แจ๊คลำบาก   แจ๊คไม่มีโอกาส

แต่พอแจ๊คมีโอกาส

แจ๊คกลับเลือกที่จะใช้โอกาสนั้นไปในทางที่ไม่ถูกต้อง

 

แจ๊คเป็นขโมย  ไม่รู้จักบุญคุณ  เป็นคนอกตัญญู

แถมยังมีทัศนคติที่พอมองยักษ์ก็แขวนป้ายคนเลวไว้ให้ทันที

คิดเองเออเองว่าถ้าเป็นยักษ์ก็ต้องดุร้ายและสมควรถูกฆ่า

 

แจ๊คไม่สนใจด้วยซ้ำว่ายักษ์ได้เหรียญทองคำ

ได้ไก่ที่ไข่เป็นทองคำ  ได้พิณวิเศษมาได้ยังไง

ยักษ์อาจได้สิ่งเหล่านั้นมาจากการทำงานหนัก

และเป็นงานที่สุจริตก็ได้

 

 

แจ๊คไม่สนใจความถูกต้อง เพราะแจ๊คคิดเพียงแค่ว่า

ฉันต้องรวย   พอรวยแล้วจะสบาย 

พอสบายแล้วจะมีความสุข

 

 

 

หลายครั้งที่เรามองดูบางคนที่รวย

แล้วเราคิดว่าเขาต้องมีความสุขมาก

 

 

 

ล่าสุดทุกคนคงได้อ่านข่าว

ที่มีชายคนหนึ่งเอาเงินล้านสามของพ่อมาฉีกทิ้ง

เพราะรู้สึกว่าพ่อรักลูกไม่เท่ากัน

 

 

อีกกรณีหนึ่งชายคนหนึ่งยิงตัวเองตาย

เพราะน้อยใจที่แม่แบ่งมรดกไม่เท่ากัน

เขาได้น้อยที่สุด....ได้แค่สองร้อยล้าน

เลยยิงตัวตาย....

 

 

 

ถ้าวันนี้เรามีสองร้อยล้านเราจะฆ่าตัวตายมั้ย

มีสองร้อยบาทยังต้องสู้ชีวิตเลยครับ

 

เพราะฉะนั้นอย่าไปเชื่อครับ

ว่ามีเงินเยอะๆแล้วจะมีความสุข

จนในที่สุดมันทำให้เราไปแสวงหาเงินมาแบบผิดวิธี

 

 

 

 

 

 

สิ่งที่อยากฝากไว้

คือ ในการเริ่มต้นทำงาน

สิ่งที่สำคัญไม่ใช่เรื่องของเงินเดือน

ไม่ใช่เรื่องของการประสบความสำเร็จเร็วๆ

 

แต่เป็นเรื่องของการเอาจริงเอาจัง

เป็นเรื่องของความมุ่งมั่นและการพิสูจน์ตัวเอง

 

ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้จะทำให้เราเป็นคนที่มี “คุณค่า”

แล้วถ้าน้องๆไปทำงานที่ไหนก็ตาม

แล้วทำงานอย่างคนที่มี “คุณค่า”

 

เมื่อทำงานอย่างมี “คุณค่า”  ไปเรื่อยๆ

ถึงวันหนึ่งคนที่มี “คุณค่า”  มากๆ

ก็จะออกไปสร้าง “มูลค่า”  มากมายได้ด้วยตัวของเขาเอง

 

 

 

 

 

 

 

มีคนถามพี่ตลอดว่าบ้ารึเปล่าที่ตื่นมาอัพบล็อกตี 5 ทุกวัน

พี่ตอบไปว่าคำว่า บ้า  เสพติด กับคำว่า วินัย

ความหมายมันใกล้กัน

 

“วินัย”ไม่ใช่การบังคับ  ไม่มีใครมาสั่งให้เราต้องทำ

วินัยคือสิ่งที่ทำให้เรารู้ว่าเมื่อถึงเวลาแล้วต้องทำ

ทุ่มเทกับสิ่งที่เราต้องทำ

 

แต่ถ้าเราหาข้ออ้างให้กับตัวเอง

พักเหนื่อยแป๊บเดียวเดี๋ยวทำต่อ

 

ถ้าเราตัดเวลาสามชั่วโมงที่ไปทำสิ่งอื่น

เราก็ได้เวลาสามชั่วโมงในการทำงานกลับมา

 

 

ถ้าเราตัดเวลาหนึ่งชั่วโมงที่ไปทำสิ่งไร้สาระ

เราจะได้เวลามีค่าหนึ่งชั่วโมงเพื่อกลับมาทำสิ่งที่เราต้องทำ

 

วันนี้เราทำแบบนั้นแล้วหรือยัง

ได้ตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปจากชีวิตแล้วหรือยัง

 

 

 

 

 

 

{พิธีกรถามนักศึกษาว่ามีใครสงสัยอะไร

จะถามอะไรไหมครับ

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ....}

 

 

...ก่อนมาพูด  อาจารย์คุณบอกพี่ว่า

นักศึกษาที่นี่ไม่ถามอะไรหรอก

 

เรามีวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่ผมว่าเราต้องเปลี่ยน

ก็คือการที่เราไม่กล้าถาม

 

ผมสอนลูกเสมอว่า “อย่าหยุดถาม”

เพราะเมื่อไหร่ที่คุณถาม

แสดงว่าคุณ “ไม่รู้”

 

ถ้าคุณ “ไม่รู้”  แต่คุณถาม 

คุณจะ “รู้”

 

แต่ถ้า “ไม่รู้”  แล้ว “เงียบ”

คุณจะ “ไม่รู้” อะไรเลย...

 

 

กล่องความคิดเห็น

การแสดงความคิดเห็นเปิดสำหรับสมาชิกเท่านั้น
ลงชื่อเข้าระบบสมาชิก หรือ สมัครสมาชิกใหม่